สิ่งที่ฉันชื่นชอบ : My Favorite Stuff

สวัสดีครับผู้อ่านที่รักวันนี้เราจามาเขียนถึงสิ่งที่เราชื่นชอบ

อันที่จริงแล้วก็มีมากมายหลายอย่าง

ตอนแรกเราก็สับสนมากเลยว่าจะเขียนเกี่ยวกับอะไรดี

ตอนแรกๆเลยนึกถึง Liverpool FC.

แต่เราก็ว่าเขียนก็คงชักจูงให้เพื่อนๆ(บางคน)ชอบตามยากกระมัง - -"

และแล้วเราก็นึกไปถึงการ์ตูนที่เราชอบ เราก็จะเขียนถึง Dragon ball ทั้งภาคแรก Z แล้วก็ GT

แต่เราก็ว่าอาจไม่เข้าถึงเพื่อนๆบางคน - -" ก็เลยไม่เขียนเลยดีกว่า แหะๆๆ

แล้วก็นะว่าไปก็จะเขียนถึงเกมที่เราช๊อบมาก นั่นก็คือ Final Fantasy

งั้นเอาซักหน่อยละกันก็นะเกมนี้เป็นเกมแนวRPG หรือเป็นเกมภาษานั่นเอง

คือแบบเล่นตามเนื้อเรื่อง เก็บเลเวลไปเรื่อยๆ ไมมีไรต้องเครียดมาก

แต่ที่ทำให้สนุกก็คือการได้ค้นหาความลับของเกม แบบที่ไม่ต้องหาคู่มือมาอ่านอานะ

สาเหตุที่เกมนี้มีชื่อว่า Final ก็เพราะว่า

เป็นเกมที่บริษัทSQUARE ENIX เจ้าของเกมนั้นคาดว่ามันจาเป็นเกมสุดท้ายของบริษัทนั่นเอง

เพราะว่าช่วงนั้นบริษัทกำลังประสบปัญหาขาดทุน

แต่ไปๆมาๆ บริษัทก็กลับมาตั้งตัวได้ ก็เพราะเกมนี้ที่ดังเป็นพรุแตกนั่นเอง

สำหรับภาคที่เราเล่นภาคแรกก็คือภาค9 ก็เลยชอบภาคนี้เป็นพิเศษ

เลยทำให้ย้อนกลับไปหาภาคเก่าๆเล่นแหะๆ แล้วก็เล่นภาคใหม่ๆตามมา

เกมนี้ก็มีเสน่ห์อยู่หลายอย่าง มีดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์

มีสัญลักษณ์หลายอย่างมากที่ซ้ำๆกันในแต่ละภาค เช่น โจโคโบะ พ่อมดดำที่ใส่หมวกใหญ่ๆตามรีๆสีเหลืองอ่ะ หรือพวกสารพัดมนต์อสูร โมกูริ(มุกเกิ้ล-ไอหมูชมพูมีปีกอ่ะ)

หรือดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภาค แหะๆๆแต่ที่สำคัญก็คือตัวละครในแต่ละภาค

ทำออกมาได้แบบว่าอลังการเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะนางเอกในแต่ละภาคนั่นแหละ

เอาภาพTIFA แห่ง FF vIIมาฝากด้วยแหะๆ

แล้วก็เรื่องอาหารการกินนี่เราก็หุหุ ชอบหลายอย่างเหมือนๆกันถ้าเขีนก็คงอีกยาว - -"

ก็อานะ เห้อ นึกไปสิ่งที่เราชอบมันก็เยอะแยะจิงๆ

ยังมีสารพัดเซเลบที่เราชื่นชอบอีกอันนี้ก็คงบ่นไม่หมด บ่นอีกยาว

งั้นเอาไว้วันหลังละกันแหะๆๆ

เพราะว่าเราจามาแนะนำวงดนตรีที่คิดว่าเพื่อนๆหลายคนยังไม่รู้จัก และเราชอบมาก

หรือรูจักแต่ยังไม่มีโอกาสได้ฟังเพลงของวงนี้มากเท่าใดนักนั่นก็คือวง บีจีส์(Bee Gees)

แปะๆๆๆๆๆๆๆ (- -")

ที่เราได้ฟังก็เพราะว่าแม่เราฟังอ่ะเป็นวงยุคคุณพ่อคุณแม่แล้วนั่นแหละ

หลายคนก็เลยคงไม่มีโอกาสจะได้ฟังวง The Bee Gees ซึ่งก็นะเป็นวงดนตรีที่มีชื่อเสียงดังไปทั่ว

หลายคนอาจจะรู้จักนะครับแต่ถ้าไม่ รู้จักลองไปถาม พ่อ-แม่ดูนะครับ

คาดว่าคงรู้จักกันแน่ครับจุดเริ่มต่นของวงนี้ก็นะ เกิดจากการร้องผสานเสียงเล่น ๆ ในห้องนอน

(ถ้าลองฟังดูเพลงของวงนี้แล้วจะพบการร้องประสานเสียงแทบทุกเพลงเลย คล้ายๆ the eagleอ่ะ)

จนกระทั่ง Hugh Gribb และ Barbara Gribb พ่อและแม่ของพวกเขาตกลงที่จะส่งเสริมลูกชายทั้ง 3

ในขณะนั้น Barry พี่ชายคนโตอายุ 9 ปี ส่วน Robin และ Maurice ซึ่งเป็นฝาแฝดกันมีอายุ 6 ปี

พวกเขาเริ่มตระเวนเล่นตามงานแถวๆ บ้านของตัวเองในเมืองแมนเชสเตอร์

ก่อนที่จะเริ่มใช้ชื่อวงว่า “Wee Johnny Hays and the Blue Cats”

จนกระทั่งพวกเขาย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่เมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลียในปี 1958

(ในครอบครัวประกอบไปด้วยHugh, Barbara, พี่สาวคนโต Leslie

ตามมาด้วย Barry, Robin, Maurice และน้องชายคนสุดท้อง Andy

ซึ่งภายหลังกลายเป็นศิลปินเดี่ยว )

หลังจากที่ทุกอย่างเริ่มลงตัว พวกเขาทั้ง 3 ก็เริ่มงานร้องเพลงและเขียนเพลง

พร้อมกับเดินทางไปเล่นในสถานที่ต่างๆ

อย่างรีสอร์ทในบริสเบน, ลานรถแข่ง, สถานีวิทยุโทรทัศน์ท้องถิ่น

ในขณะนั้น Barry อายุเพียง 13 ปี ส่วนRobin และ Maurice เพิ่ง 10 ขวบ

และเริ่มใช้ชื่อ The BG. ย่อมาจากคำว่า Brother Grib

และกลายมาเป็น The Bee Gees ในภายหลังในปี 1963

พวกเขาไปสร้างชื่อเสียงในประเทศออสเตรเลียจนโดงดัง

จากนั้นเขาก็กลับมายังประเทศอังกฤษ และก็มาโดงดังในอังกฤษอีก

มาถึงปี 2000 พวกเขาได้สูญเสีย Maurice ซึ่งเป็นน้องชายอีกคนและเป็นผู้ร่วมวงของพวกเขาไป

จึงเป็นเหตุให้ วง The Bee Gees ยุบตัวลง

พวกเขามีเพลงทั้งหมด 41 อัลบัม ครับ

ซึ่งบีจีส์เซ็นสัญญาทำอัลบั้มชุดแรก “เดอะ บีจีส์ ซิง แอนด์ เพลย์ 14 แบร์รี่ ซองส์”

กับสังกัด“เฟสทีฟเร็กคอร์ด” แต่ไม่ประสบความสำเร็จในออสเตรเลีย

ทำให้พี่น้องกิ๊บบ์ตัดสินใจไปประเทศอังกฤษ

ต่อมาในปี 2509 (ยุค 60) ในยุคที่เดอะ บีทเทิลส์โด่งดังเป็นอันมาก

พวกเขามีโอกาสได้ร่วมงานกับ “โรเบิร์ต สติกวู้ด”

จนมีผลงานชุด “นิวยอร์กไมนิ่ง ดิสแอสเตอร์ 1941” ออกวางตลาดกลางปี ค.ศ. 1967 หรือ 2510

อัลบั้มชุดนี้ติดอันดับบนชาร์ตเพลงยอดนิยมทั้งฝั่งอังกฤษ และสหรัฐ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลง “ทู เลิฟ ซัมบอดี้”

และมีเพลงฮิตอื่นอย่าง “ฮอลิเดย์” “แมสซาชูเล็ตต์” “เวิร์ดส์” และ “ไอสตาร์ทเต็ด อะ โจ๊กส์”

เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเพลงของบีจีส์คือ

เป็นเพลงป็อปเน้นเสียงประสานด้วยเสียงหลอกบีบเสียงให้สูงผิดธรรมชาติหรือ

ที่ เรียกว่า “ฟอลเซตโต”อันนี้คนพี่คนโตสุดร้องอะนะ

แต่แล้วก็เกิดความเห็นที่ไม่ลงรอยกันระหว่างพี่น้องทั้งสามคนจนได้แยกย้ายออก

ไปมีผลงานเดี่ยว ช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนจะกลับมารวมตัวกันใหม่

ในปี 2513 มัวริซเข้าไปหลงใหลในแวดวงสังคมคนดัง

กับศิลปินซุปเปอร์สตาร์ยุคนั้น เช่น เดอะ บีทเทิ้ลส์,เดวิด โบวี่ และไมเคิล เคน

มัวริซได้สมรสกับ “ลูลู่” นักร้องเพลงป็อปชื่อดังที่วิวาห์กันในปี 2510

แต่ชีวิตคู่ก็ต้องพังทลายในปี 2517 จนมาแต่งงานครั้งที่สองกับ “อีวอน สเปนเซอร์ลีย์”

โรคติดเหล้าของมัวริซจึงดีขึ้น มัวริซกลับมาดื่มหนักอีกครั้ง

เมื่อแอนดี้น้องชายคนเล็กเสียชีวิตในปี 2531 เพราะเสพยาเกินขนาด

ในยุคสมัยดนตรีดิสโก้เฟื่องฟู ชื่อเสียงบีจีส์ขจรขจายไปทั่วโลก

ภายหลังปล่อยอัลบั้มประกอบภาพยนตร์ “แซทเทอร์ เดย์ ไนท์ ฟีเวอร์” ที่มีจอห์น ทราโวตา แสดงนำประกอบด้วยเพลง “มอร์ แธน อะ วูแมน”“สเตอิ้ง อะไลฟ์” “ไจฟ์ ทอล์กกิ้น”

ความสำเร็จได้รับการตอกย้ำด้วยอัลบั้ม “สปิริตส์ แฮฟวิ่ง โฟลว” ปี 2522

ซึ่งมีเพลงอันดับ 1 อย่าง เพลง “ทราจีดี้” ,“ทู มัช เฮฟเวน” และ“เลิฟ ยู อินไซด์ เอาต์”

จากนี้เองได้สร้างสถิติทำให้บีจีส์มีเพลงอันดับ 1 ในอเมริกาติดต่อกัน 6 เพลง

เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาร์ทเพลงอเมริกา (ซึ่งต่อมาวิทนีย์ ฮูสตันทำได้อีกครั้ง)

อัลบั้มชุดนี้ทำยอดขาย 30 ล้านชุดทั่วโลก

แต่เมื่อยุคดิสโก้ถึงคราวดับสูญในยุค 80 แนวดนตรียุคนั้นก็เข้าสู่กระแสของ “พังค์และนิวเวฟ”

ชื่อเสียงของบีจีส์ก็เงียบตามไปด้วย แต่ก็มีเพลงฮิตบนเกาะอังกฤษ

ในปี พ.ศ. 2530 กับเพลง “ยู วิน อะเกน” จากอัลบั้ม E.S.P.

บีจีส์ ประคับประคองชื่อเสียงแบบเสมอตัวได้ต่อมาอีก 20 ปี

และออกอัลบั้ม “ธิส อิส แวร์ ไอ เคม อิน” ปี 2544 ซึ่งมีเพลงดังอย่าง “อะโลน”ในปี 1988

เดือนมีนาคม Andy น้องคนสุดท้องของตระกูล Gibb ถึงแก่ความตายในประเทศอังกฤษ

ทำความโศกเศร้าเสียใจให้กับทั้งสามคน

แม่เราเล่าให้ฟังว่าAndyไม่ต้องการจะเข้าร่วมวงกับBG

แม้ว่าพี่ชายทั้งสามของเขาจะวิงววอนเขาเท่าไหนก็ตาม

เพราะเขาต้องการที่จะดังด้วยฝีมือของตนเองดังนั้นในอัลบั้มถัดมา

ในปี 1989 ที่ชื่อว่า “One” จึงเป็นอัลบั้มที่อุทิศให้กับน้องชายของพวกเขา

โดยซิงเกิ้ล ”One” ก็เข้าไปถึงอันดับที่ 7 ของชาร์ทบิลล์บอร์ด

มาดูประวัติของแต่ละคนกันดีกว่า แหะๆ

เริ่มที่ Barry Gibb มีชื่อเต็มคือ Barry Alan Crompton Gribbเกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ.1946

ต่อมาคือ Robin Gibb ชื่อเต็มคือ Robin Hugh Gibbเกิดเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ.1949

และสุดท้ายคือ Maurice Gibb ชื่อจริงคือ Maurice Ernest Gibb คนนี้เห็นทีไรใส่หมวกทุกทีนะ

คนนี้ชีวิตไปเมื่อปี ค.ศ. 2000 โดยมีอายุเพียง 53 ปี เขาเป็นฝาแฝดกับ Robin จึงเกิดในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 1949 เช่นกัน เน่อ
เราว่าเพื่อนๆคงเคยได้ยินเพลงHow deep is your love หรือ All by my selfแน่ๆแหละ

เป็นเพลงที่ดังที่สุดของบีจีส์นะเราว่า

มีศิลปินยุคหลังนำไปcover อยู่เยอะแยะ แหะๆ

แต่ในความคิดเรามีเพลงที่เพราะๆมาแนะนำให้ฟัง

เพราะทุกเพลงเราขอรับประกัน
1.Alone
2.I Started a Joke
3.To love somebody
4.Islands In the Stream
5.I can't see no body
6.Spicks And Specks
7.Words
8.Fist of May

9. Massachusetts

แต่เพลงที่เราชื่อบที่สุดก็คิอเพลง Run to me

แปะๆๆๆๆ

เอาเนื้อไปก่อน

If ever you got rain in your heart,

someone has hurt you, and torn you apart,

am I unwise to open up your eyes to love me?
And let it be like they said it would be -

me loving you girl, and you loving me.

Am I unwise to open up your eyes to love me?
**Run to me whenever you're lonely. (to love me)

Run to me if you need a shoulder

Now and then, you need someone older,

so darling, you run to me.
And when you're out in the cold,

no one beside you, and no one to hold,

am I unwise to open up your eyes to love me?
And when you've got nothing to lose,

nothing to pay for, nothing to choose,

am I unwise to open up your eyes to love me
**Run to me whenever you're lonely. (to love me)

Run to me if you need a shoulder

Now and then you need someone older,

so darling, you run to me.

อ่านเนื้อแล้วซึ้งไงไม่รุฟังทำนองแล้ว

แทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ - -"

แหะเราหาจากimeemมาให้ฟังกันด้วยยย

ฟังกับอ่านแล้วนึกถึงเพลงกลับมาของพี่บอยไตรไงไม่รุ แหะๆ

ขอบคุณที่มาเสียเวลาอ่านครับ

*********เม้นให้หน่อยนะ**********

********เม้นให้เม้นกลับแน่น๊อนสสสสสส************

^^

Thx for These Referencehttp://manamoiy.multiply.com/reviews/item/2

http://www.azlyrics.com/b/beegees.html